ใครคือ “ผู้ก่อมลพิษ” เป็นผู้จ่าย ในนิยามร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด
รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์
11 พฤศจิกายน 2568
อ่าน 3 นาที
ฟังบทความ

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.00-17.00 น. ณ ห้องประชุม 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ฤดูฝุ่นควันกำลังใกล้เข้ามา แต่ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาดที่ประชาชนโดยเฉพาะคนภาคเหนือกำลังรอคอย ยังคงถูกชะลอจากชั้นกรรมาธิการวุฒิสภา และกำลังถูกภาคเอกชนและกลุ่มตัวแทนอุตสาหกรรมส่งเสียงคัดค้าน ไม่ว่าจะเป็นจากกลุ่มสว.ตัวแทนกลุ่มทุนปศุสัตว์/อาหารสัตว์ กับข้อเสนอให้กำหนดระยะเวลาปรับตัว 3-5 ปี และพิจารณาบทลงโทษที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทย ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่แย้งว่าร่างกฎหมายอากาศสะอาด จะบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ ขาดการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และกังวลว่าจะทำให้เกษตรกรเผชิญความยากลำบาก ทั้งหมดนี้ทำให้ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเสี่ยงกับการถูกขยายเวลาพิจารณาไปจนกุมภาพันธ์ 2569 และไม่ทันการก่อนรัฐบาลยุบสภา
กฎหมายที่ผลักดันจากภาคประชาชน กำลังถูกขัดขวางจากภาคอุตสาหกรรมโดยผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายในสภา อีกด้านหนึ่งที่น่ากังวลโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือคือการที่กลุ่มทุนมีอิทธิพลต่อชะตาของร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเช่นนี้ จะส่งผลอย่างไรบ้างต่อชุมชนคนอยู่กับป่า โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ไฟ ไม่ว่าจะเป็นชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ที่ใช้ไฟเพื่อยังชีพด้วยการทำไร่หมุนเวียน และชุมชนผู้ใช้ไฟเพื่อดูแลจัดการเชื้อเพลิงในป่า ดังนั้น คนตัวเล็กๆจะถูกตราอยู่ในกรอบของคำว่า “ผู้ก่อมลพิษ” หรือไม่ สภาลมหายใจเชียงใหม่และ ELC CMU คลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงชวนตัวแทนจากหลายภาคส่วน ทั้งคณะกรรมธิการอากาศสะอาด และนักกฎหมาย มาร่วมหาและกำหนดนิยาม “ผู้ก่อมลพิษ” ภายใต้พรบ.อากาศสะอาด เพื่อให้แน่ใจว่าพรบ.อากาศจะต้องเป็นเครื่องมือที่ปกป้องสิทธิประชาชน ไม่ใช่ละเมิดสิทธิ มุ่งเอาผิดเฉพาะชุมชนคนอยู่กับป่าผู้ใช้ไฟวัฒนธรรมและไฟวิถีชีวิต
ความหมายของผู้ก่อมลพิษ อยู่ในคำว่า “มลพิษ”

ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการร่างพ.ร.บ. อากาศสะอาด อธิบายถึงความหมายผู้ก่อมลพิษว่า “ผู้ก่อมลพิษคือ คนที่ไม่ดำเนินการตามกลไกและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด” กล่าวคือ ผู้ก่อมลพิษคือผู้ที่ทำให้คุณภาพอากาศเสื่อมโทรมลงที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ สุขภาพของประชาชน และสวัสดิภาพของสาธารณะ (อ้างอิงจากร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ….) โดยสส.ภัทรพงษ์ ย้ำว่า “มาตรการผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายนั้น ไม่ได้หมายความถึงเกษตรกรที่กำลังแผนปรับตัว การทำไร่หมุนเวียน และกฎหมายยังคำนึงถึงผู้ประกอบการขนาดย่อยและขนาดกลางด้วย ในส่วนของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ หากดำเนินการตามมาตรการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างดีแล้ว ก็สามารถขอลดหรืองดการจ่ายค่าธรรมเนียมได้เช่นกัน จุดประสงค์ของมาตรการนี้คือการสร้างความเท่าเทียม และเติมงบประมาณแก้ไขปัญหา PM2.5 ของประเทศนี้ ซึ่งรัฐบาลไม่เคยจัดสรรได้เพียงพอกับการจัดการ PM2.5”
ใครบ้างคือผู้ก่อมลพิษ?
สส.ภัทรพงษ์ ยืนยันว่า “ไม่มีประเด็นใด ๆ ที่ผู้ใช้ไฟในไร่หมุนเวียน หรือผู้ประกอบกิจการรายย่อยที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายต้องกังวล ประชาชนทุกคนจะไม่เสียผลประโยชน์จากร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด แต่จะเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลหยิบมาใช้ และสามารถบังคับใช้กับผู้ก่อมลพิษระดับใหญ่” โดยระบุลงรายละเอียดถึงข้อความตามร่างพ.ร.บ.ไว้ดังนี้
- เกษตรกร: ตามมาตรา 117 เจ้าของหรือผู้ครอบครองจะต้องไม่เผา เว้นแต่เป็นการเผาเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต การกำจัดศัตรูพืช หรือการเผาในพื้นที่ไร่หมุนเวียน ซึ่งหมายความถึง ไม่ได้ห้ามเผา สามารถจัดการเชื้อเพลิงได้ และเปิดช่องให้คณะกรรมการระดับจังหวัดวางแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิง สามารถปรับปรุงรูปแบบการทำเกษตร และอุดหนุน การสนับสนุนการไม่เผา ถ้าดำเนินการตามขั้นตอนนี้ด้วยการขอบริหารจัดการเชื้อเพลิง และปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตไปสู่เกษตรยั่งยืนที่ไม่ใช้ไฟตามมาตรา 112 จะไม่เป็นผู้ก่อมลพิษ
- กิจการที่ก่อมลพิษทางอากาศข้ามแดน: เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เชื่อมโยงกับร่องรอยพื้นที่เผาไหม้ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงถึง 3,762,728.63 ไร่ (กรีนพีซ, 2568) ในกรณีนี้จะหมายถึงการก่อมลพิษทั้งภายในและนอกประเทศ ซึ่งจะระบุภายใต้มาตรา 131 ว่าจะห้ามการส่งออกและนำเข้า หรือออกมาตรการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานในข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งบริษัทจะต้องจัดทำข้อมูลรอบด้านตลอดห่วงโซ่อุปทานทั้งในและนอกประเทศของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามมาตรา 132 ที่ระบุว่าผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการตรวจสอบ และประเมินความเสี่ยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการรับกลไกร้องเรียน และเปิดเผยให้สาธารณาชนได้ร่วมตรวจสอบ ควบคู่กับอีกสามมาตรา คือ มาตรา 133 ต้องอธิบายผลิตภัณฑ์สินค้า ปริมาณ และพิกัดทางภูมิศาสตร์ของแปลงเพาะปลูก ชื่อ ที่อยู่ พร้อมคำรับรองการตรวจสอบย้อนกลับ มาตรา 134 การประเมินความเสี่ยงการก่อมลพิษทางอากาศ และ มาตรา 136 การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะในรายงานประจำปี เพื่อให้ประชาชนร่วมตรวจสอบ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการเดียวกันกับกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation) ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการให้สอดคล้องกันเพื่อเตรียมรับมือก่อนที่สหภาพยุโรปจะประกาศใช้กับพืชอาหารสัตว์
- อุตสาหกรรม: ในการติดตามมลพิษจากอุตสาหกรรม จะใช้พ.ร.บ. PRTR หรือร่างพระราชบัญญัติการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ประกอบกันไป เพื่อควบคุมและกำกับโรงงานอุตสาหกรรม เหมืองแร่ กิจการขนาดใหญ่ หรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้รายงานข้อมูลการปล่อยสารมลพิษ และการเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายไปยังหน่วยงานที่กำหนด และเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะเข้าถึง

ดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ คลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดไม่ได้นิยามผู้ก่อมลพิษ แต่นิยามเฉพาะมลพิษ ดังนั้นผู้ก่อมลพิษ ก็คือผู้ที่ทำให้เกิดมลพิษตามที่ระบุไว้ในร่างพ.ร.บ. แต่ขึ้นอยู่กับกรรมการระดับจังหวัด และกฎหมายรอง ข้อกังวลของภาคประชาสังคมและชุมชน คือ ไม่ต้องการมาตรการที่ซ้ำเติมคนที่เดือดร้อนอยู่แล้ว กฎหมายฉบับนี้จึงสำคัญ ที่ผ่านมาภาคประชาสังคมใช้มาตรการทุกมาตรการที่มี แต่แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ไม่ได้ เพราะมลพิษทางอากาศเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดจะทำให้เกิดการจัดการมลพิษอย่างเป็นระบบครั้งแรกในบ้านเรา แต่กฎหมายอาจจะดีเกินไปสำหรับคนบางกลุ่มจึงเกิดการคัดค้านขึ้นของกลุ่มอุตสาหกรรม”
ไร่หมุนเวียนสามารถใช้ไฟได้โดยไม่ผิดกฎหมายจริงใช่ไหม?
คำถามที่เกิดขึ้นในเวทีสาธารณะนี้เป็นข้อกังวลจากชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ผู้ใช้ไฟในวิถึชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำไร่หมุนเวียนซึ่งที่ผ่านมามักถูกวางไว้ว่าเป็นต้นเหตุของมลพิษทางอากาศ การทำลายป่า และน้ำท่วมดินถล่ม เช่นนั้นแล้ว คำถามที่ต้องการคำตอบจากร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้คือ แค่ขออนุญาตหรือลงทะเบียนจะพอไหม? ไร่หมุนเวียนในเขตป่าจะนับเป็นอะไร เป็นเกษตรหรือป่า? และคณะกรรมการระดับจังหวัดจะโดนสั่งการจากข้างบนซ้ำรอยการสั่งมาตรการห้ามเผาเด็ดขาดหรือ Zero Burn เหมือนต้นปี 2568 ที่ผ่านมาไหม?
สส.ภัทรพงษ์ ได้ให้คำตอบว่า ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดระบุคำว่าไร่หมุนเวียนโดยตรง ไม่ว่าจะอยู่พื้นที่ใด และจะอิงจากกฎหมายป่าไม้หลายฉบับ เพิ่มจากแผนของคณะกรรมการจังหวัด และพื้นที่ที่จำเป็นที่ต้องใช้ไฟ แต่อย่างไรก็ตาม “พ.ร.บ.อากาศสะอาดจะไม่ทำงานเหนือ พ.ร.บ.ด้านสิทธิทางพื้นที่เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้ แต่พ.ร.บ.อากาศสะอาดจะเป็นการเพิ่มแผนจัดการที่ดินทำกินที่เกี่ยวข้องกับการใช้ไฟ โดยที่จะอยู่ภายใต้แผนระดับจังหวัด และเป็นอำนาจของคณะกรรมการระดับจังหวัดที่ไม่สามารถสั่งการแบบท๊อป-ดาวน์ได้ง่ายเหมือนเดิมเนื่องจากระบุไว้ในกฎหมายชัดเจน” สส.ภัทรพงษ์ กล่าว

อ.ไพสิฐ พาณิชย์กุล นักกฎหมายหนึ่งในกรรมาธิการร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด เสริมว่า “ความเสี่ยงของชาวบ้านในการเป็นผู้ก่อมลพิษจะเกิดขึ้นต่อเมื่อไม่ทำตามกฎหมาย โดยกฎหมายมีเพียงข้อห้ามการใช้ไฟในพื้นที่เกษตรเชิงอุตสาหกรรมและพันธสัญญาสำหรับการเก็บเกี่ยวและการจัดการแปลง ต้องกำหนดให้อุตสาหกรรมมีส่วนร่วมรับผิด แต่ไฟสำหรับไร่หมุนเวียน และการใช้ไฟเพื่อปรับเปลี่ยนระบบการผลิตสามารถทำได้ อาทิ จากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นกาแฟ ที่สำคัญคือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเอาประเด็นของพี่น้องในพื้นที่รวมถึงพื้นที่ที่มีเขตป่าเข้ามา ร่วมออกแบบแผนระดับจังหวัด”
มิติสิทธิชุมชนในการจัดการมลพิษภาคป่าไม้ภายใต้กฎหมายอากาศสะอาด
อ.ไพสิฐ กล่าวว่า “ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดถูกร่างขึ้นด้วยความตั้งใจในการมุ่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งโครงสร้างระบบราชการและกฎหมาย โครงสร้างระบบฐานข้อมูลและองค์ความรู้ โครงสร้างระบบการผลิต และโครงสร้างทางวัฒนธรรมการใช้ไฟ รวมถึงเปลี่ยนวิธีการจัดการมลพิษที่จากเดิมเป็นการมองเชิงวิทยาศาสตร์ ทำให้มิติทางสังคมไม่ถูกรวมมาแก้”
อ.ไพสิฐ กล่าวว่า “ในแง่สิทธิของไร่หมุนเวียน กฎหมายอากาศสะอาดระบุไว้ชัดว่า ให้ไร่หมุนเวียนอยู่ในพื้นที่เขตป่า เชื่อมโยงว่า คณะกรรมการจังหวัดต้องทำงานกับป่าไม้ ดังนั้นสิทธิในพื้นที่ของร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดจะไปเสริมให้เกิดความชัดเจนในพื้นที่ที่ไม่เคยอยู่ในระบบกฎหมายเกิดขึ้น ด้วยระบบฐานข้อมูลพื้นที่ป่า และจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่เสี่ยง เช่น พื้นที่ไหม้ซ้ำซาก” โดยอธิบายไปในทางเดียวกันกับ สส.ภัทรพงษ์ ว่า “กฎหมายป่าไม้ คือ ระบุเรื่องการยึดครองพื้นที่ แต่กฎหมายอากาศสะอาดคือการบริหารจัดการพื้นที่อย่างไรไม่ให้เกิดไฟ กล่าวคือ กฎหมายอากาศสะอาดกำหนดว่าต้องเชื่อมโยงกับกฎหมายของแต่ละป่า ทั้งกฎหมายป่าไม้ ป่าสงวน ป่าชุมชน และทำงานร่วมกันด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน ในแต่ละจังหวัดที่มีระบบนิเวศป่าที่ต่างกัน จะต้องมีการออกแบบแผนอากาศสะอาดที่ต่างกันด้วย ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างหน่วยงานตามแต่ละพื้นที่” แต่อ.ไพสิฐ กล่าวถึงข้อกังวลคือ ต้องมีการจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอ และให้แผนนำไปสู่การใช้จริง เพื่อป้องกันการใช้อำนาจโดยมิชอบ
อ.ไพสิฐ เผยว่า ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดคือกฎหมายที่เชื่อมโยงสิทธิที่ระบุไว้ภายใต้กฎหมายอื่น เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 ที่ระบุว่าสามารถประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุ และออกแบบแผนภายใต้กฎหมายชาติพันธุ์ได้ โดยเฉพาะประเด็นสิทธิในการทำไร่หมุนเวียน “ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดทำให้ไร่หมุนเวียนอยู่ในระบบกฎหมาย และมีแผนการจัดการโดยเฉพาะ โดยกำหนดให้คณะกรรมการจังหวัดต้องทำร่วมกับคณะกรรมการป่าชุมชน ทำแผนในการบริหารจัดการป่าชุมชนเพื่อลดมลพิษทางอากาศ ภายใต้แนวทางป่าชุมชนทำให้สิทธิชุมชนในเขตพื้นที่อนุรักษ์ สามารถใช้แผนจัดการได้ สิทธิชุมชนมีจุดเกาะเกี่ยว โดยมีกฎหมายรับรองสิทธิรองรับ” อ.ไพสิฐ ยังย้ำอีกว่า “ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเอื้อให้ชุมชนมีสิทธิลุกขึ้นมาเรียกร้องการจัดการไฟ และมลพิษจากต้นทาง รวมถึงสามารถฟ้องร้องได้” ซึ่งตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีกฎหมายด้านมลพิษทางอากาศที่เอื้อให้กับการร้องเรียนของประชาชนมาก่อน
หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และกองทุนอากาศสะอาด
ด้านหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย หรือ Polluter Pays Principle (PPP) นโยบายที่กำหนดให้ผู้ปล่อยมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษ ผู้เชี่ยวชาญที่มาร่วมถกกันในวันนี้ต่างให้ความเห็นว่าไม่น่ากังวลในส่วนตัวกฎหมาย เนื่องจาก มีระบบว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายจากธุรกิจใดบ้าง และให้อำนาจกับคณะกรรมการ แต่หากเกิดการเลือกปฏิบัติได้อาจจะเกิดจากผู้ถือกฎหมาย แม้ว่ากองทุนอากาศสะอาดจะไม่สามารถดูแลผู้ถูกฟ้องอย่างไม่เป็นธรรมได้ก็ตาม โดยหลักเกณฑ์การดูแลผู้เสียหายนี้จะอยู่ภายใต้กองทุนยุติธรรม

สุรีรัตน์ ตรีมรรคา สภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวว่า “กองทุนอากาศสะอาดจะมีรายได้หลัก คือค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาดและการส่งเสริม สนับสนุน และช่วยเหลือเพื่ออากาศสะอาด ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เครื่องจักร ขนส่ง สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีข้อมูลเชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศ และสารเคมีที่ทำให้เกิดมลพิษ ดังนั้นจึงทำให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ออกมาคัดค้าน ส่วนกรณีภาคเกษตรและป่าไม้ที่จะถูกเก็บค่าธรรมเนียม อันนี้เรายังหนักใจ เนื่องจากเขาเขียนในแหล่งกำเนิดภาคป่าไม้ว่าให้อำนาจคณะกรรมการระดับจังหวัดที่จะเป็นคนพิจารณา”

ผศ.ดร. นัทมน คงเจริญ คลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ย้ำถึงการใช้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายว่า “ควรจะใช้กับทุนขนาดใหญ่ มากกว่าบุคคล หรือชุมชนขนาดเล็ก” โดยยกตัวอย่างถึงคดีโลกร้อน ลีซูเชียงดาว ที่เกิดการเรียกค่าเสียหายที่ล้นเกิน อันเป็นปัญหาโครงสร้างของการจัดการป่าไม้ และใช้เครื่องมือเศรษฐศาสตร์มาคำนวนค่าเสียหายโดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริง ในกรณีของการจัดการภายใต้ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด ภาคป่าไม้นั้นยังเกี่ยวข้องกับ 3 หน่วยงานคือ พ.ร.บ.ป่าไม้, พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ และพ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งผู้ถือกฎหมายและศาลจะต้องมีวิจารณญาณเพื่อไม่ให้เกิดความไม่เป็นธรรม
ดังนั้นแม้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายจะสื่อถึงผู้ก่อมลพิษรายใหญ่อย่างชัดเจนภายใต้กฎหมาย แต่เรายังคงต้องระวังเรื่องการบังคับใช้และการตัดสินใจของผู้ถือกฎหมายที่อาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมได้ นั่นเป็นที่มาว่าทำไมกลุ่มอุตสาหกรรมจึงออกมาต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ โดยอ.ไพสิฐ กล่าวว่า “ภาคอุตสาหกรรมกลัวเรื่องข้อมูล และการปล่อยมลพิษจะสัมพันธ์กับเรื่องภาษี ประกอบกับความไม่สะดวกจากการต้องทำข้อมูลอย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำธุรกิจได้ยากขึ้น แต่ไปเลี่ยงบอกว่ากฎหมายไม่ส่งผลการลงทุน”
ดร.สงกรานต์ เสริมว่า “ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมคือผู้ที่ปล่อยมลพิษต่อสังคม และสังคมไทยไม่น่าจะรับมลพิษแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว มีวิธีการต่าง ๆ อีกมากที่เอื้อให้กับธุรกิจไปได้ และสามารถแก้วิกฤตมลพิษทางอากาศ ไปด้วย คนไทยฟังเรื่องนี้มามากพอแล้ว และรับผลกระทบโดยตรงมามากพอแล้ว จึงควรเป็นภาระของภาคธุรกิจที่ควรแก้ปัญหาด้วยการรับผิดชอบ”
บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการระดับจังหวัด
คณะกรรมการอากาศสะอาดระดับจังหวัดเป็นคณะกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นที่รับผิดชอบ โดยมีอบจ.เป็นประธานกรรมการให้อำนาจเรื่องงบประมาณ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อนุมติแผน และคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัดมีสิทธิตั้งคณะทำงานระดับย่อย เช่น อำเภอ และตำบล อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในเวทีนี้คือ คณะกรรมการอากาศสะอาดระดับจังหวัดจะมีความเข้าใจในวิถีชีวิตและไฟวิถีชีวิตอย่างไร่หมุนเวียนหรือไม่

สมคิด ปัญญาดี ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ ให้ข้อมูลว่า “คณะกรรมการสะอาดระดับจังหวัด เป็นหัวใจหลักของร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด มีอำนาจกำหนดเขตเพดาน การควบคุม และค่ามาตรฐาน ดังนั้นข้อกังวลเรื่องป่า เรื่องไร่หมุนเวียน จะอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการระดับจังหวัด”
เจ้าพนักงานอากาศสะอาดคือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือก็คือ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนแต่งตั้ง แต่ข้อกังวลในบทสนทนาของเวทีวันนี้คือ ปัจจุบันยังไม่เคยมีการแต่งตั้งท้องถิ่นเลย ซึ่งถ้าปล่อยแบบนั้นจะดำเนินไปเหมือนเดิม คือไม่มีตัวแทนจากท้องถิ่น ซึ่งสมคิดกล่าวว่า “ท้องถิ่นเป็นองค์กรที่เราคาดหวังว่าจะควบคุมและดำเนินการตามร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดได้”

ดร.สุกฤษฎิ์ เกิดแสง ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ กล่าวถึงการวิเคราะห์อัตราการเดินอากาศที่เหมาะสมตามลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ หรือ Airshed ซึ่งแบ่งการจำแนกเขตภูมิศาสตร์อากาศออกเป็น 4 โซนด้วยกัน คือ พื้นที่ภูเขาสูง พื้นที่ราบหุบเขา พื้นที่ราบสูง และพื้นที่ราบต่ำ อันจะเป็นส่วนสำคัญในการจัดการบริหารเชื้อเพลิงและการระบายมลพิษ ความรู้นี้จะช่วยให้คณะกรรมการระดับจังหวัดสามารถออกแบบแผนได้ดีขึ้น สอดคล้องกับพื้นที่มากขึ้นตามโซนของ Airshed ได้ งบประมาณการจัดการจะสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกวัตถุประสงค์มากที่สุด “คณะกรรมการอากาศสะอาดควรจะมีหลายภาคส่วนอยู่ร่วมกัน เพื่อสร้างกลไกที่แตกต่างกัน ข้อสังเกตุคือ ปีที่เราขออนุญาตจัดการเชื้อเพลิงได้ จะเห็นกลุ่มควันในช่วงที่ลมระบาย มีอัตราการระบายอากาศได้ดี แต่ต้องมีความเข้าใจร่วมกันก่อน เพื่อการพิจารณาอย่างเป็นธรรม และหาทางออกร่วมกันได้ แผนผังพื้นที่เพื่ออากาศสะอาดอย่างยั่งยืนสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในพื้นที่ภาคป่าและภาคเมือง โดยอ้างอิงกับภูมิประเทศและภูมิอากาศ” ดร.สุกฤษฎิ์ กล่าว
ข้อมูลในรูปแบบนี้หากได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการระดับจังหวัด จะสามารถเปลี่ยนแนวทางการบังคับใช้ทางกฎหมาย เช่น มาตรการห้ามเผา หรือการเผาเลี่ยงดาวเทียม ซึ่งไม่สอดคล้องกับการระบายอากาศและภูมิประเทศ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสำคัญอาจจะเป็นการเปลี่ยนจากการชี้วัดด้วยจุดความร้อน (hotspot) กลายเป็นพื้นที่เผาไหม้ (burned scar) เพื่อกำหนดแผนจัดการไฟร่วมกันของชุมชน และให้ชุมชนมีสิทธิใช้ไฟ และเป็นผู้ปกป้องไฟ สิ่งที่สภาลมหายใจย้ำอยู่เสมอถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นไฟในจังหวัดเชียงใหม่คือ การยอมรับไฟจำเป็นและไร่หมุนเวียน และปฏิเสธหลักการห้ามเผาโดยเด็ดขาด (Zero Burn) แบบเหมารวม และเราจะต้องยืนยันสิ่งนี้ไปสู่คณะกรรมการระดับจังหวัดต่อไป
สส.ภัทรพงษ์ กล่าวย้ำอีกครั้งว่า “ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเป็นเหมือนถนนเส้นใหญ่เส้นนึง เหลือเพียงแค่ถนนเส้นรองต้องดำเนินต่อ และต้องมีการเพิ่มหลักเกณฑ์ในการเยียวยา” แม้ข้อสรุปของเวทีสาธารณะครั้งนี้จะได้นิยามที่ชัดเจนว่า “ผู้ก่อมลพิษ” ภายใต้ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดนั้น ไม่ได้มีเจตนาสื่อถึงคนตัวเล็ก ชาวบ้าน เกษตรกร และชุมชนคนอยู่กับป่าผู้ใช้ไฟวัฒนธรรมและไฟวิถีชีวิต แต่เป็นกฎหมายที่มีจุดประสงค์เพื่อเอื้อปกป้องสิทธิประชาชน เหลือเพียงแค่การผลักดันต่อไปในระดับจังหวัดว่าการวางแผนภายใต้คณะกรรมการระดับจังหวัดจะเป็นเช่นไร สิ่งที่สำคัญเร่งด่วนไปกว่านั้นเพื่อให้กฎหมายอากาศสะอาดถูกบังคับใช้ได้ทันท่วงที คือการร่วมกดดันของภาคประชาชนต่อชั้นกรรมาธิการของวุฒิสภา ให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน3สถาบัน (กกร.) คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเหนืออุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษ เพราะการลงทุนและผลกำไรทางธุรกิจใดใดนั้นไม่ควรมีต้นทุนจากสุขภาพของประชาชน
แชร์บทความ
