Liveable Chiangmai: บ้านเดียวกัน ลมหายใจเดียวกัน สนทนากับชัชวาลย์ ทองดีเลิศ
กองบรรณาธิการประชาธรรม
14 ตุลาคม 2568
อ่าน 2 นาที
ฟังบทความ

เชียงใหม่อยู่ได้คืออะไร? กิจกรรมทอล์ค “Breathing Life into Our City” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ งาน Jing Jai Eco-Connect ได้พาเราไปหาคำตอบผ่านบทสนทนากับ ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ สภาลมหายใจเชียงใหม่
ในช่วงฤดูแล้งของทุกปี เชียงใหม่เมืองน่าอยู่ได้กลายเป็นเมืองมลพิษติดอันดับหนึ่งของโลกเป็นเวลาหลายเดือน และเป็นเช่นนี้มายาวนานร่วม 20 ปี ในปี 2562 เป็นปีหนึ่งที่คุณภาพอากาศสำหรับหายใจนั้นเลวร้ายอย่างมาก และเริ่มมีข่าวคนป่วยเป็นมะเร็ง นำไปสู่คำถามว่า “เราจะอยู่กันแบบนี้หรือ” นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการชักชวนและรวมตัวกันจากหลาย ๆ ฝ่าย ทั้งจากฝั่งวิชาการ ธุรกิจ ชุมชน ศิลปิน รวมกันเป็นภาคประชาสังคมในนามว่า สภาลมหายใจเชียงใหม่
ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ กล่าวว่า “สภาลมหายใจเชียงใหม่ คือคนที่สูดลมหายใจที่มีมลพิษของเชียงใหม่ คนที่อยากแก้ปัญหาจึงกระโดดเข้ามาในพื้นที่หน้าหมู่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของทุกคนที่เข้ามาร่วมแก้ปัญหา” และด้วยปัญหามลพิษทางอากาศของภาคเหนือตอนบนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีความซับซ้อนและทับซ้อนกันหลายประเด็น ชัชวาลย์ จึงอธิบายว่า “เราไม่สามารถบอกให้คนหยุดขับรถยนต์ ปลูกข้าวโพด หรือหยุดโรงงาน แต่ต้องร่วมกันหาทางออกที่ทุกคนอยู่รอดร่วมกัน ในเมื่อ PM2.5 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เกี่ยวโยงกับกฎหมายและผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องเชื่อมโยงกับนโยบายของกระทรวงต่าง ๆ ตั้งแต่กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราแก้ปัญหาเพียงคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องร่วมมือช่วยกัน”
พลังลมหายใจเดียวกัน แก้ PM2.5 ไปด้วยกัน

ชัชวาลย์ มองว่าการแก้ PM2.5 ต้องการการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและบูรณาการทุกฝ่ายอย่างมีส่วนร่วม และมีสิทธิเท่าเทียมในการกำหนดทิศทางการแก้ปัญหา “ที่ผ่านมาเป็นการแก้ปัญหาแบบ event ซึ่งก็คือการแก้ปัญหาเฉพาะเดือนช่วงมีมลพิษฝุ่นต้นปีจนกระทั่งจบในเดือนพฤษภาคม และเริ่มใหม่อีกทีคือธันวาคม เป็นเช่นนี้เรื่อยมาโดยไม่มียุทธศาสตร์ระยะยาวและการแก้ตั้งแต่ต้นทางอย่างยั่งยืน และขาดการทำงานแบบบูรณาการโดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ ธุรกิจ สังคม วิชาการ และสื่อมวลชน ทุกคนที่ได้รับมลพิษต้องช่วยกัน เป็นการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย ไม่ใช่ไม้ประดับ”
ด้วยเหตุนี้ พรบ.อากาศสะอาด จึงเป็นความหวังในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ PM 2.5 อย่างตรงจุด ยั่งยืน เคารพสิทธิ และความหลากหลายของประชาชน ชัชวาลย์กล่าวว่า “การแก้ปัญหาด้วยพรบ.ป้องกันบรรเทาสาธารณะภัยที่ผ่านมานั้นเป็นการสอดคล้องกับการแก้แบบ event เนื่องจากเป็นกฎหมายเชิงรับที่จะแก้ได้ก็ต่อเมื่อมีหายนะภัยเกิดขึ้นแล้ว แต่บริบทของ PM 2.5 ต้องแก้จากแหล่งกำเนิดด้วยการไปกำกับควบคุมผู้ก่อมลพิษ ดังนั้นจึงต้องมีกฎหมายเชิงรุกที่สามารถเข้าไปควบคุมแหล่งกำเนิดทุกแหล่ง ทั้งจากอุตสาหกรรม เกษตร ป่าไม้ คมนาคมขนส่ง และมลพิษทางอากาศข้ามแดนประเทศเพื่อนบ้านได้”
สิทธิ ข้อมูล ความรู้และความเข้าใจ คือทางออกของฝุ่น PM2.5

“ที่ผ่านมาดูเหมือนเรายังไม่ได้กำหนดเรื่องสิทธิให้ชัดเจน สิทธิการมีอากาศสะอาดหายใจควรต้องเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” ชัชวาลย์กล่าว“เราไม่ควรจะสูดมลพิษทุกวันหรือตลอดทั้งปี นี่คือสิทธิการมีอากาศสะอาดซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนที่ต้องได้รับการดูแลและคุ้มครอง” ในการได้มาซึ่งสิทธินี้ ชัชวาลย์มองว่าข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ
“เราจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้านว่ามลพิษฝุ่นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ที่ผ่านมามักมีอคติว่าชาวบ้านเผาป่า ต้องจับชาวบ้าน ต้องห้ามใช้ไฟ ซึ่งไม่จริง ข้อมูลจึงเป็นการแก้ปัญหาอันดับแรก เราต้องทำองค์ความรู้ใหม่เพื่อแก้ไขปัญหา PM2.5 โดยมีคณะกรรมการที่ใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อเป็นแรงจูงใจในการเปลี่ยนพืชอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้ไฟไปเป็นพืชยืนต้นที่ยั่งยืน เช่น จะทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนจากการปลูกข้าวโพดเป็นกาแฟ”
ด้วยเหตุนี้ กองทุนอากาศสะอาดภายใต้พรบ.อากาศสะอาด จึงถูกมองว่าเป็นกลไกที่จำเป็น เพื่อให้ได้รับเงินค่าปรับจากผู้ก่อมลพิษระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่เงินจากรัฐ ซึ่งนั่นหมายความว่า “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย และเงินที่จ่ายจะต้องเอามาเป็นทางออกให้กับผู้ที่ปรับพฤติกรรม สร้างทางเลือกทางออกให้ผู้ต้องการปรับเปลี่ยน เช่น การเปลี่ยนเครื่องจักรให้ปล่อยมลพิษน้อยลง เปลี่ยนแปลงการผลิตทางเกษตรเชิงอุตสาหกรรม หรือรถยนต์รถแดงที่จะเปลี่ยนไปเป็น EV” ชัชวาลย์ อธิบาย “และนี่คือเป้าหมายของกองทุนอากาศสะอาดจากการปรับผู้ก่อมลพิษ”
เชียงใหม่อยู่ได้ Liveable Chiang Mai คืออะไร?

ชัชวาลย์ กล่าวว่า “ที่ผ่านมาจะเป็นการโทษกันไปโทษกันมาถึงปัญหาฝุ่นไฟ เราจึงมีคอนเซปว่า ‘การอยู่ร่วมกัน’ เราอยากทำให้เชียงใหม่น่าอยู่ อยู่ร่วมกันแบบเป็นเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจกัน และช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน”
ภายใต้หลักการสิทธิของประชาชนการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม สภาลมหายใจเชียงใหม่มุ่งผลักดันเชียงใหม่ที่ทุกคนมีสิทธิและลมหายใจเดียวกันภายใต้แนวคิด “เชียงใหม่อยู่ได้: เข้าใจ ฝุ่นไฟ อยู่ร่วม ช่วยกัน” โดยมุ่งแก้ปัญหามลพิษทางอากาศด้วยการลดฝุ่นพิษแต่เพิ่มสิทธิของประชาชนทั้งชุมชนอยู่กับป่าและคนเมือง ซึ่งจะเป็นการลดอคติและมุ่งแก้ปัญหาด้วยการคำนึงถึงสิทธิ วัฒนธรรม และทางออกที่ไม่ซ้ำเติมชุมชนชายขอบ
ทิศทางการทำงานของ “เชียงใหม่อยู่ได้” จึงประกอบด้วยการสนับสนุนชุมชนจัดการไฟด้วยการให้อำนาจชุมชนในการดูแลป่า 20 หมู่บ้านนำร่องดูแล 191,346 ไร่ ไม่ใช่แค่ห้ามเผา แต่จัดการไฟอย่างเข้าใจวิถีชีวิต และในด้านเมืองจะต้องมีสิทธิการเดินทาง พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงได้ ลด PM2.5 ลดความเหลื่อมล้ำ โดยทั้งหมดนี้เป็นการตอบโจทย์เชียงใหม่เมืองคาร์บอนต่ำ ด้วยการเปลี่ยนผ่านด้วยนโยบายที่ให้สิทธิกับประชาชนและชุมชนอย่างแท้จริง
“เข้าใจ ฝุ่นไฟ อยู่ร่วม ช่วยกัน”

ชัชวาลย์ อธิบายว่า “ไฟมีทั้งไฟจำเป็นและไม่จำเป็น ทราบมาว่ามีการแบ่งประเภททั้งหมด 30 ชนิด เช่น ไฟเกษตร ไฟไร่หมุนเวียน ไฟลักลอบ ไฟหมั่นไส้ และอีกมากมาย เนื่องจากเชียงใหม่เรามีพื้นที่ป่าไม้มากถึงร้อยละ 70 มีป่าผลัดใบอยู่ 7 ล้านไร่ ทิ้งใบปีละ 1 ตันต่อไร่ต่อปี ดังนั้นเราจึงมีเชื้อเพลิงอย่างน้อย 7 ล้านตันต่อปี จังหวัดเชียงใหม่มีหมู่บ้านทั้งหมด 2,066 หมู่บ้าน แต่ถูกประกาศอุทยานและป่าสงวนทับลงมาเกินร้อยละ 50 (หรือ 1,171 ชุมชน) พอประกาศอุทยานทับลงมาแล้วจึงไม่มีสิทธิในที่ทำกิน และงบประมาณของรัฐไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆได้ในพื้นที่เหล่านี้ กล่าวคือชุมชนถูกจำกัดการพัฒนา จึงต้องหาของป่าเพื่อดำรงชีพ บางครั้งต้องมีไฟเกิดขึ้น”
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและความเข้าใจสาเหตุและวิถีชิวิตของชุมชนในป่า ชัชวาลย์กล่าวว่า “สภาลมหายใจได้ร่วมช่วยทำแนวกันไฟ และทราบว่าชุมชนมีการทำ zoning พื้นที่สำคัญ เช่น ป่าต้นน้ำ ไร่เหล่าของไร่หมุนเวียนซึ่งห้ามไฟเข้าอย่างเด็ดขาด มีการช่วยกันดับไฟเมื่อเกิดไฟในป่า มีการใช้ไฟเฉพาะไร่ข้าวของไร่หมุนเวียน ซึ่งถือเป็น cultural burning หรือภูมิปัญญาการใช้ไฟตามวิถีชีวิตวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา โดยมีการทำเพียง 3-5 ไร่ต่อปี และมีการควบคุมไม่ให้ลุกลาม ถ้าคนเมืองเข้าใจตรงนี้จะเกิดการช่วยเหลือสนับสนุนด้านอุปกรณ์ หรืออื่นๆ ที่จำเป็นให้แก่ชุมชนในการช่วยดับไฟให้เราทุกคน”
สิ่งที่สภาลมหายใจมองเป็นความหวังคือ การดูแลและช่วยเหลือกันของเชียงใหม่ “ดังเช่นช่วงโควิดที่พื้นที่เมืองขาดแคลนอาหาร เราเห็นพี่น้องบนดอยขนฟักแฟงและอาหารลงมาให้ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่น่ารัก เราอยากเห็นบรรยากาศเช่นนี้” ชัชวาลย์กล่าว
“นอกจากนี้ในด้านสิทธิการเดินทาง เรากำลังจะเริ่มมีระบบขนส่งสาธารณะจัดทำโดยอบจ. โดยจะมีรถเมล์สองสาย แม้ว่าอบจ.จะมีความกังวลว่าจะไม่มีคนใช้บริการเนื่องจากความสะดวกสบายของรถยนต์ส่วนตัว ปัญหาจึงไม่ใช่รถเมล์ไม่ดีแต่ต้องทำอย่างไรให้ตอบโจทย์ เราจึงต้องมีสภาสิทธิการเดินทางเพื่อผลักดันให้เกิดระบบขนส่งสาธารณะที่ตอบโจทย์และเป็นธรรม” ชัชวาลย์เสริม
“1,171 ชุมชน ไม่เคยมีข่าวว่าบ้านถูกไฟไหม้เลย ดังนั้นจึงพูดได้ว่าเขามีภูมิปัญญาในการจัดการไฟ เราจึงควรสนับสนุน” ชัชวาลย์กล่าวโต้อคติต่อชุมชนคนอยู่กับป่า โดยขณะนี้มีชุมชนนำร่องจัดการไฟที่เกิดจากการรวมตัวกัน 20 หมู่บ้านในพื้นที่ 5 ตำบล ได้แก่ ต.บ้านปง อ.หางดง, ต.น้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง, ต.ดอนเปา อ.แม่วาง, ต.สะลวง อ.แม่ริม และ ต.แม่หอพระ อ.แม่แตง ร่วมกันกำหนด “แผนชุมชนจัดการไฟ” เพื่อดูแลพื้นที่ป่ารวม 191,346 ไร่ สร้างกติการ่วมกันในการควบคุมไฟ
ชัชวาลย์กล่าวว่า “ชุมชนยังขาดทุนเพื่อดูแลป่า เราจึงจัดกองทุนชุมชนจัดการไฟ เพื่อช่วยทำแนวกันไฟ และดับไฟ และเป็นกองทุนที่สามารถสนับสนุนให้เปลี่ยนจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไปเป็นพืชชนิดอื่น เพราะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่หน้าแล้งก็ก่อฝุ่น หน้าฝนก็ทำให้ดินถล่ม ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เข้าที่ไหนดอยหัวโล้นจะเกิดที่นั่น นี่คือความเสี่ยงของเชียงใหม่ ถ้ากองทุนนี้ใหญ่พอ จะช่วยเปลี่ยนไปเป็นการผลิตที่ยั่งยืนมากขึ้น ทั้งหมดนี้ต้องเริ่มจากการเรียนรู้และความเข้าใจซึ่งกันและกัน”
“ชุมชนถูกกดทับ ไม่มีคุณค่า ไม่มีศักดิ์ศรี เหมือนเขาไม่ใช่เพื่อนเรา เชียงใหม่อยู่ได้จึงเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นเพื่อน เข้าใจฝุ่นไฟ อยู่ร่วม ช่วยกัน” ชัชวาลย์กล่าวย้ำ
ความหวัง?

เมื่อเอ่ยถามว่ามีความหวังต่อปัญหาฝุ่น PM2.5 ไหม ชัชวาลย์ตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นประกายว่า “ผมมีความหวัง เนื่องจากเชียงใหม่มีความตื่นตัวสูง เรามีเครื่องวัดอากาศทุกตำบล โดยความร่วมมือจากหลายฝ่ายทั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอบจ. การเข้าถึงข้อมูลจะทำให้เราป้องกันตัวเองได้ เมื่อมีข้อมูลเราจะเริ่มปรับและสร้างเงื่อนไขในการอยู่ร่วมกัน เช่น การเตือนกันเรื่องการเผาขยะในชุมชน ซึ่งจะช่วยทำให้ทุกฝ่ายแอคทีฟทำงานร่วมกันมากขึ้น”
“เราหวังว่าพรบ.อากาศสะอาดที่กำลังจะออกเร็วๆนี้จะถูกผลักดันโดยทุกพรรคการเมืองเพื่อให้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา เราต้องร่วมกันติดตามและส่งเสียง เพื่ออนาคตของเมืองเชียงใหม่ที่น่าอยู่ของทุกคน” ชัชวาลย์กล่าว “ประกอบกับการที่คนเมืองเข้าใจและร่วมสนับสนุนกองทุนจัดการไฟ เพื่อให้ชุมชนกระจายกองทุนและช่วยกันดับไฟในทุกทุกที่ จะเป็นความร่วมมือจากทุกคน เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ของลมหายใจเดียวกัน”
ติดตามรายละเอียดชุมชนจัดการไฟได้ที่ https://www.communityfire.fund/

แชร์บทความ