ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ประชาธรรม

โครงการที่กำลังทำสื่อสิ่งพิมพ์
ติดต่อเรา
หน้าแรก

/

บทความ

/

ชะตากรรมคนเหนือ ฤดูฝุ่นจะเป็นอย่างไร ในวันที่กฎหมายอากาศสะอาดสลายไปพร้อมกับการยุบสภา

ข่าวเด่นฝุ่นไฟ Dialogue

ชะตากรรมคนเหนือ ฤดูฝุ่นจะเป็นอย่างไร ในวันที่กฎหมายอากาศสะอาดสลายไปพร้อมกับการยุบสภา

สัมภาษณ์/เรียบเรียง: รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์

23 ธันวาคม 2568

อ่าน 2 นาที


ฟังบทความ

การยุบสภาแบบฟ้าผ่าทำให้ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาด (หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาด) ที่ผลักดันโดยภาคประชาชนต้องรับผลพวงไปด้วย โดยขณะนี้ยังมีชะตากรรมที่อาจเรียกว่าเป็น-ตายเท่ากันหากรัฐบาลใหม่ไม่ใส่ใจหยิบกลับมาพิจารณา แล้วขณะที่รัฐบาลและกฎหมายยังเป็นสุญญากาศ ยังมีกลไกอะไรบ้างที่จะเอื้อให้ประชาชนปกป้องตัวเองได้ในช่วงเวลาที่ฤดูฝุ่นกำลังจะกลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนภาคเหนือ

สภาลมหายใจเชียงใหม่ได้ชวน ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ อดีตกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด อธิบายและให้ความเห็นต่ออนาคตของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะสำหรับประชาชนแล้วการยุบสภาในครั้งนี้ไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่ แต่เป็นการทำลายความหวังต่อกฎหมายที่ประชาชนตั้งตารอมาอย่างยาวนาน จากกำหนดเวลาเดิมทีขั้นตอนการพิจารณาจะเสร็จสิ้นพร้อมนำมาบังคับใช้ในปีหน้าทันฤดูฝุ่นควัน สภาลมหายใจเชียงใหม่หยิบยกข้อกังวลต่อประเด็นร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดและคำตอบบางประการ

[?] ชะตากรรมของร่างกฎหมายอากาศสะอาด

ภัทรพงษ์ กล่าวว่า “เมื่อยุบสภากฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาก็ถูกแช่แข็งไว้เพื่อรอการเลือกตั้งใหม่” โดยนอกจากร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดแล้ว ยังมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมสำคัญอื่นอีกที่ถูกหยุดไว้ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.PRTR (การรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษและการเคลื่อนย้ายสารเคมีอันตราย) ร่างพ.ร.บ.โรงงาน ร่างพ.ร.บ.การปกครองส่วนท้องถิ่น และร่าง​​พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ถูกแช่งแข็งไปพร้อมกัน

เช่นเดียวกฎหมายทุกฉบับที่กำลังรอการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดจะต้องเริ่มนับหนึ่ง คือ ต้องยื่นเข้าไปพิจารณาใหม่ในรัฐสภา  ภายใน 60 วันหลังจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ถ้าไม่ถูกหยิบมาพิจารณาโดยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็จะถือว่าร่างฯ ดังกล่าวตกไปโดยปริยาย ไม่สามารถยื่นโดย สส.หรือฝ่ายค้านได้ 

ในการเริ่มพิจารณาอีกครั้งหากเกิดขึ้นภายในกรอบเวลา 60 วัน ภัทรพงษ์ ระบุว่าจะพิจารณาต่อเนื่องทันทีจากจุดที่หยุดไว้ ซึ่งสำหรับร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดก็คือ กรรมาธิการวุฒิสภา 

“เราต้องเข้าไปขับเคลื่อนในการพิจารณาของกรรมธิการวุฒิสภาด้วย เพื่อไม่ให้ตัดเนื้อหาสำคัญออก หากสว.ตัดมาตราต่าง ๆ ออกไปจนเป็นร่างเสือกระดาษแล้วกลับมายังสส.และสส.ไม่เห็นด้วย ก็จะต้องตั้งกรรมาธิการร่วมพิจารณากันอี​ก​ ยืดยาวขึ้นไป” ภัทรพงษ์ อธิบาย ดังนั้นสำหรับประชาชนแล้ว เราจึงต้องลุ้นทั้งให้คณะรัฐมนตรีหยิบร่างกฎหมายนี้ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง และแม้จะหยิบขึ้นมาแล้วก็ตาม ก็ต้องไม่แก้ไขจนเสียใจความสำคัญของกฎหมายไปจนสิ้น “เพราะฉะนั้นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ถ้าเข้าไปแล้วแค่หยิบมาต่อหยิบมาต่อยังไม่พอ แต่ต้องเข้าใจในด้านกฎหมายฉบับนี้ และต้องรู้ว่ากลไกไหนสามารถทำอะไรได้บ้าง แล้วก็อธิบายให้สว. เข้าใจและให้ผ่านวุฒิสภา โดยที่มีการแก้ไขด้วยความเข้าใจผิดของวุฒิสภาน้อยที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องตั้งกรรมาธิการร่วม”

ดังนั้น กรณีที่ดี-แย่ที่สุดสำหรับชะตากรรมร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดนั้น ภัทรพงษ์ อธิบายไว้ดังนี้

กรณีดีที่สุด: คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นำมาพิจารณาต่อหลังเลือกตั้งภายใน 60 วัน และรับรองผลหนึ่งเดือนให้หลัง เริ่มเปิดประชุมสภานัดแรกประมาณสิ้นเดือนเมษายน พอเดือนพฤษภาคมคณะรัฐมนตรีจะพิจารณากฎหมายที่พิจารณาค้างไว้ หากพิจารณาสิ้นสุดใน 30 วัน คือประมาณสิ้นเดือนมิถุนายน ก็จะส่งกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎรว่าเห็นด้วยไหมกับสิ่งที่ สว.แก้มา ถ้าเห็นด้วยกฎหมายก็จะผ่าน รอพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยให้กฎหมายมีผลบังคับใช้

กรณีมีการปรับแก้: หากมีการปรับแก้จากทางสว.และสส.ไม่เห็นด้วย ก็จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วม ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน และกลับมาที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อยืนยันสิ่งที่กรรมาธิการร่วมศึกษาร่วมกันอีกครั้ง กรณีนี้หากเร็วสุดจะประมาณเดือนกรกฎาคม หรืออาจช้าที่สุดถึงปลายปี

กรณีเลวร้ายที่สุด: คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ไม่หยิบขึ้นมาพิจารณาต่อ

[?]  ระหว่างที่รอกฎหมายอากาศสะอาด จะมีมาตราการอะไรที่ปกป้องสิทธิประชาชนบ้างในขณะนี้

ภัทรพงษ์ให้ความเห็นสนับสนุนการกระจายอำนาจและจัดการแผนระดับจังหวัดขณะที่ศูนย์กลางยังไม่มีความแน่นอน “ถ้าเกิดรัฐบาลปล่อยปล่อยฟรีแบบนี้ ก็คือเป็นหน้าที่ของแต่ละจังหวัดที่ต้องลุยกันเอง ต้องแอคชั่นเอง ผู้ว่าราชการจังหวัดจะรอมติคณะรัฐมนตรีอย่างเดียวไม่ได้เพราะว่าถ้าเกิดเขาไม่ประชุมครมกันเลยล่ะ จะปล่อยให้จังหวัดไร้แผนไม่ได้ ต้องอิงตามแผนระดับจังหวัดซึ่งในแต่ละจังหวัดก็ก็ร่างเสร็จแล้วแล้วก็ส่งให้กรมควบคุมมลพิษไปแล้ว เราสามารถดำเนินตามแผนนั้นได้เลย และของบกลางระดับจังหวัดจากสำนักงบประมาณ เป็นการกระจายอำนาจในการจัดการกัน ให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้น ใช้พ.ร.บ.สาธารณสุขในการจัดการรบกวนสิ่งรำคาญ เป็นกลไกระดับจังหวัดในการจัดการฝุ่นพิษในต้นปีหน้า ท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญมากโดยที่ไม่ต้องรอคณะรัฐมนตรี ซึ่งจากการติดตามดูบันทึกการประชุมในทุกวันอังคารยังคงไม่เห็นเรื่องนี้” ข้อเสนอแนะการกระจายอำนาจนี้น่าจะนำไปสู่การวางแผนเพื่อจัดการแก้ไขมลพิษทางอากาศได้ดีที่สุด โดยไม่ใช่แค่เพียงรอหวังลุ้นมติการประชุมคณะรัฐมนตรี

[?] แล้วงบประมาณการจัดการไฟในพื้นที่ป่าและเกษตรล่ะ

ภัทรพงษ์ แสดงความกังวลต่อสถานการณ์งบประมาณสำหรับการจัดการไฟในพื้นที่ป่าและเกษตรว่า “ปัจจุบันการจัดการงบกลางสำหรับการจัดการไฟยังไม่ได้รับการพิจารณา ทางกระทรวงที่รับผิดชอบน่าจะยังไม่ได้ทำเลยด้วยซ้ำ มีงบเพียงรายจ่ายประจำปี เช่น ท้องถิ่นขอไป 2,000 ล้าน แต่ได้รับอนุมัติเพียง 120 ล้าน และเมื่อกระจายไปยังพื้นที่จะเหลือเพียงหลักหมื่นหลักแสน แม้แต่หลักแสนก็อาจโดนล็อคสเปคการสั่งซื้อของ เช่น เครื่องเป่าลม ทำให้ไม่สามารถสั่งซื้อได้ทุกอย่าง ภาคเกษตรแม้จะทำงานไวกว่า ก็ยังรอแผนระดับชาติซึ่งยังไม่ออก งบที่พอมีใช้ได้จึงเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอต้องของบกลาง” ภัทรพงษ์ ย้ำว่า “งบก็ยังไม่ออก แผนก็ยังไม่ออก กลายเป็นว่าปัญหาฝุ่นปีนี้ผมว่าน่าเป็นห่วงพอสมควรเลย”

[?] ปัญหามลพิษทางอากาศที่มากกว่าการเผา

ท่ามกลางไม่แน่นอนของการเมือง ยังมีปัญหาขาดความเข้าใจและการจัดการทั้งระบบมลพิษ โดยภัทรพงษ์กล่าวว่า “ตอนนี้เราต้องจัดการฝุ่นจากไฟป่าให้ได้มากขึ้น แต่ต่อให้เราจัดการการเผาในเรื่องของไฟป่า หรือไฟเกษตรได้หมด เราก็จะเห็นว่าบางช่วงของเชียงใหม่ยังมีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานรายวัน 37.5 อยู่ดี  อ้างอิงจากงานวิจัยของอาจารย์สมพร จันทระ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุชัดเจนว่ายังคงมีแหล่งกำเนิดจากคมนาคมบ้างมาจากโรงงานอุตสาหกรรมบ้างในบางพื้นที่ ข้อมูลจากดาวเทียมก็ยังสะท้อนว่ามีการปล่อยมลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นไนโตรเจนไดออกไซด์ หรือว่าซัลเฟอร์ไดออกไซด์เยอะมากในหัวเมืองต่างๆ ที่มีประชากรหนาแน่น ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต หรือแม้กระทั่งโซนแม่เมาะลำปาง ที่มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน เราจะเห็นชัดเจนว่ามีการปล่อยมลพิษทางอากาศค่อนข้างเยอะกว่าพื้นที่อื่นและมลพิษเหล่าแม้จะไม่ใช่ PM2.5 แต่จะกลายเป็นฝุ่นในภายหลังเมื่อทำปฏิกิริยากับแสงอาทิตย์ (โอโซนภาคพื้นดิน) เพราะฉะนั้นต้องจัดการกันทั้งระบบทั้งฝุ่นที่มาจากการเผา ฝุ่นที่มาจากข้ามแดน และฝุ่นที่มาจากการพฤติกรรม หรือว่ากิจกรรมของมนุษย์ที่อาจจะไม่ได้ออกมาเป็น PM2.5 โดยตรง แต่ออกมาเป็นมลพิษชนิดอื่นแล้วมันแปลงเป็น PM2.5 เราต้องจัดการกันทั้งระบบ”

[?]  ทิศทางกฎหมายอากาศสะอาดที่ควรจะสานต่อในรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

ภัทรพงษ์ย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญในการนำกฎหมายอากาศสะอาดมาพิจารณาว่า “เมื่อฟอร์มรัฐบาลปุ๊ป จะต้องเร่งหยิบกฎหมายอากาศสะอาด และ PRTR นำกลับมาพิจารณาต่อ โดยที่สว. ต้องทำความเข้าใจในกฎหมายนี้ กลไกใช้กฎหมาย วัตถุประสงค์ การทำงานด้านนิติบัญญัติ ตรงไหนมีความสำคัญอย่างไร ตรงไหนที่สว.สงสัยบ้าง เพราะกฎหมายอากาศสะอาดคือ อาวุธในการจัดการ ถ้าไม่มีจะทำงานไม่ได้ และถ้าปล่อยไปกฎหมายฉบับนี้จะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ตั้งกรรมาธิการใหม่ เสียเวลาอีกยืดยาว” 

[?]  ความหวังต่อการแก้ปัญหาฝุ่นในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้

สิ่งที่ภาคประชาชนอยากสะท้อนต่อการยืดเยื้อของการพิจารณาผ่านร่างกฎหมายอากาศสะอาดนี้ คือ เราต้องการกฎหมายที่ปกป้องสิทธิในอากาศสะอาดของประชาชน อันเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐบาลควรปกป้องประชาชน และต้องการให้กลไก พร้อมด้วยมาตรการทางกฎหมายนั้นคงเจตจำนงในการปกป้องสิทธิประชาชนไว้เหนือผลประโยชน์หรือข้อกังวลของอุตสาหกรรม เราไม่อยากรอช้าอีกต่อไปแล้ว โดยภัทรพงษ์เสริมว่า “สิ่งสำคัญคือกลไกจากการบริหารส่วนจังหวัด โดยที่เชียงใหม่มี War Room มีฐานข้อมูลและข้อมูลดาวเทียม แต่ยังไม่ได้ใช้ส่วนนี้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้แต่ถามเรื่องง่ายๆ ถึงผลของการบริหารเชื้อเพลิงปี 2567 ก็ยังไม่สามารถตอบได้จากข้อมูลที่มีทั้งที่เป็น War Room ดำเนินการโดยอบจ. สิ่งที่เราอยากเห็นในระดับท้องถิ่นคือ อบจ.ในฐานะพี่ใหญ่ เป็นร่มให้ท้องถิ่นระดับเล็กจัดการมลพิษอย่างตรงจุด มีแผนระดับท้องถิ่นเพื่อบรรเทาผลกระทบให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่เรายังไม่ได้มีงบประมาณงบกลางมาช่วย หวังว่าจะมีความตื่นตัวเรื่องนี้อย่างจริงจัง”

 



แชร์บทความ

🔊

อ่านให้ฟัง

ประชาธรรม

สื่อ ประชาธรรม ประชาทำ

77/1 หมู่ 5 ต.สุเทพ อ.เมืองจ.เชียงใหม่ 50200

เกี่ยวกับมูลนิธิ

เกี่ยวกับเราช่องทางติดต่อเรา

© 2025 ประชาธรรม

FacebookTwitterInstagramTikTokYouTube
ชะตากรรมคนเหนือ ฤดูฝุ่นจะเป็นอย่างไร ในวันที่กฎหมายอากาศสะอาดสลายไปพร้อมกับการยุบสภา | ประชาธรรม