รองนายกฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ ฟังแผนรับมือฝุ่นไฟภาคเหนือปี 69
ใช่ชื่อคนเขียน
24 ตุลาคม 2568
อ่าน 2 นาที
ฟังบทความ

23 ตุลาคม ณ ศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังไฟป่า ควบคุมไฟป่า และหมอกควันภาคเหนือ สภาลมหายใจเชียงใหม่ ได้นำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันจังหวัดเชียงใหม่ ต่อรองนายรัฐมนตรี นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรืว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการติดตามเตรียมความพร้อมการแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติ
โดยในเวทีดังกล่าวมีหน่วยงานราชการหลายภาคส่วนทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กรมอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ สำนักงานป่าไม้จังหวัด กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ กองทัพภาค สภาลมหายใจภาคเหนือ สภาลมหายใจเชียงใหม่ และ 8 จังหวัดภาคเหนือ โดยแต่ละภาคส่วนได้นำเสนอการทำงานในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งข้อเสนอในการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาไฟป่าฝุ่นควันเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือในปี 2569
นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่าจังหวัดเชียงใหม่มุ่งมั่นขับเคลื่อนในเรื่องของการลดฝุ่นในพื้นที่ป่า พื้นที่ภาคเกษตร และการดูแลสุขภาพของประชาชน และที่ผ่านมาถึงแม้จะไม่มีหมอกควันในพื้นที่เลยก็จะมีมลพิษจากข้ามแดนถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นจำเป็นต้องมีมาตรการที่ครอบคลุมทั้งหมด และมีมาตรการการบริหารจัดการ ทำงานด้วยระบบข้อมูล ให้ความสำคัญในการป้องกัน ไม่ใช่การวิ่งไล่ดับไฟ ผลลัพธ์คือจุด Hotspot ปี 2568 ลดลงร้อยละ 60 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่เผาไม้ก็ลดลงเหลือร้อยละ 27 จำนวนวันที่มีหมอกควันก็ลดลงเหลือ 60 วัน หรือร้อยละ 36 โดยเทียบจากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี โดยเฉลี่ย
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชกล่าวว่าที่ผ่านมาในช่วงที่เผชิญกับสถานการณ์ไฟป่า มีการถอดบทเรียนมาตลอดรับฟังภาคประชาสังคมมาตลอด ได้รับข้อแนะนำจากสภาลมหายใจโดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ทางอุทยานฯ มีการดำเนินงานโดยแบ่งเป็นลักษณะกลุ่มป่า แบ่งเป็น 14 กลุ่มป่ามีพื้นที่ดูแล 44 ล้านไร่ โดยเป็นการบูรณาการร่วมกัน มีวอร์รูมที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดบัญชาการระดับจังหวัด ใช้เทคโนโลยีในการติดตามปัญหา ปัจจุบันสามารถพัฒนาการแจ้งเตือนเหตุได้เร็วถึง 45 นาที มีการปรับแผนเฝ้าระวังทั่วประเทศ มีจุดสกัดเฝ้าระวังไฟป่าเพื่อให้เข้าถึงเหตุได้รวดเร็วขึ้น ประกอบกับการบังคับใช้กฎหมาย ผลจากการเฝ้าระวังร่วมกัน มีจำนวนจุด Hotspot ลดลง มีการจัดกำลังคนก่อนถึงฤดูไฟ มีการจัดงบประมาณที่มาจากงบกลาง
นอกจากนี้เราต้องมีการบริหารจัดการทุ่งหญ้า จัดการเชื้อเพลิงก่อนฤดูไฟ ทั้งนี้ จะต้องดูสภาพอากาศถึงจะดำเนินการได้ หลักของการปฏิบัติงานเน้นเห็นไวเข้าถึงไว ปีที่ผ่านมาลด Hotspot ได้ 46 เปอร์เซ็นต์ ในป่าอนุรักษ์ลดได้ 29 เปอร์เซ็นต์ ปีนี้ตั้งเป้าจะลดให้ได้ 40 เปอร์เซ็นต์จากค่าเฉลี่ย 3 ปี สำหรับงบประมาณที่จะขอจากส่วนกลางได้รวบรวมครบถ้วนแล้ว พร้อมที่จะนำเสนอรองนายกฯ ก่อนถึงฤดูไฟ
นายบัณรส บัวคลี่ สภาลมหายใจภาคเหนือ กล่าวว่าการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันต้องมองใน 3 ระดับคือ 1.ระดับดำนวยการ 2.ระดับบูรณาการ และ 3.ระดับปฏิบัติการ ปีที่แล้วเนื้อหาแผนคล้ายกับปีนี้ ในส่วนของภาคเกษตรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ดูแล ซึ่งปีที่แล้วมีการแก้ไขที่ทันการ แต่ปฏิบัติการไม่ทัน เพราะกระทรวงเกษตรไม่ได้ตาม ไฟภาคเกษตรเยอะในภาคกลาง สำหรับตนเองสิ่งที่อยากเห็นคือความเป็นเอกภาพของแผน และอีกเรื่องคือเรื่องของอนุมัติงบประมาณส่วนกลางที่ล่าช้ามาก มาถึง อปท.ก็ปลายเมษา ส่วนงบเฝ้าระวังก็มาปลายฤดูแล้ว มีข้อเสนอขอให้แต่ละจังหวัดมีพื้นที่เพ่งเล็ง มุ่งเป้าที่ชัดเจน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไหม้เยอะเพราะไม่มีงบประมาณลงไป กลายเป็นพื้นที่โหว่เพราะไม่มีเจ้าภาพ
สุดท้ายเรื่องการชิงเผา คนที่มีปัญหามากคือกระทรวงทรัพย์ฯ และป่าไม้ หลายจังหวัดห้ามเด็ดขาด แต่ยังมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการเชื้อเพลิง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเอาอเมริกาทำเป็นต้นแบบ ไม่ต้องเหนียม ๆ กัน หน่วยไหนเป็นคนทำการบริหารจัดการเชื้อเพลิง ใครรับผิดชอบเป็นคนทำ อาศัยโอกาสนี้ยกระดับไปเลย การดำเนินงานการชิงเผาต้องเปิดเผย
ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานคณะกรรมการสภาลมหายใจเชียงใหม่กล่าวว่าสภาลมหายใจเชียงใหม่เริ่มติดตามและทำงานแก้ไขปัญหาฝุ่นควันตั้งแต่ปี 2562 โดยมองว่าการแก้ไขปัญหาจะแก้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นแก้ไม่สำเร็จ ต้องมีความร่วมมือหลายฝ่าย ปัญหานี้เป็นปัญหาโครงสร้าง จากที่ทำมาสิ่งที่น่าสนใจคือความร่วมมือ และความตื่นตัวของผู้คนทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ คณะกรรมการแก้ปัญหาฝุ่นควรมีองค์ประกอบหลายฝ่าย โดยสรุปข้อเสนอของสภาลมฯ ถ้าจะแก้ไขต้องทำ 8 เรื่องคือ 1.ข้อมูลวิชาการรอบด้าน ฝุ่นเกิดจากอะไร 2.การเพิ่มพื้นที่สีเขียว 3.การลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นพืชที่ยั่งยืนสอดคล้องกับระบบนิเวศ 4.ต้องทำให้ที่ดินของชุมชนมีมั่งคงมากขึ้น 5.การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น แก้ไขปัญหาตามบริบทของพื้นที่ 6.พ.ร.บ.บริการจัดการอากาศสะอาด 7.เพิ่มพื้นที่สีเขียว พลังงานสะอาด 8.ป้องกันและรักษาสุขภาพ
สภาลมหายใจเชียงใหม่มีข้อเสนอคือ 1. กระบวนการวางแผนร่วมกันของทุกฝ่ายโดยมี อปท. ป่าไม้และอำเภอ หลังจากนั้นโซนนิ่งพื้นที่ โดยบางจุดที่ดูแลเป็นพื้นที่ที่ห้ามเผาเด็ดขาดเป็น zero burning ส่วนพื้นที่อื่นต้องมีการดูแลและจัดการ ซึ่งความจริงแล้วพื้นที่ที่มีการบริหารเชื้อเพลิงมีเพียงแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่พื้นที่ดูแลไม่ให้ไฟเข้าเลยมีถึง 95 เปอร์เซ็นต์ 2. เรื่องงบประมาณ อยากให้กระทรวงทรัพย์ฯ สนับสนุนทุกฝ่ายทำแผนแบบบูรณาการ ที่สำคัญพอทำแผนเสร็จแล้วต้องมีงบประมาณ ที่ผ่านมาใช้งบประมาณจากงบกลาง ก็ควรเป็นงบปกติ 3. การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ชุมชน และท้องถิ่นอยู่ในพื้นที่ 4. ต้องมีสวัสดิการของผู้ดูแลไฟป่า เพื่อจะได้มีขวัญกำลังใจ และ 5. อยากเสนอให้จังหวัดเชียงใหม่ เป็นจังหวัดนำร่องของ พ.ร.บ.อากาศสะอาด น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ภายหลังจากที่แต่ละภาคส่วนได้นำเสนอแผน และข้อเสนอแนะต่อรองนายกรัฐมนตรีเสร็จแล้ว นายสุชาติ ชมกลิ่นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กล่าวว่าตนเองให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ในการเตรียมความพร้อมสำหรับแผนเรื่องการรับมือกับไฟป่า รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ทราบว่าปัญหาหมอกควันเกิดจากหลายองค์ประกอบตามที่สภาลมหายใจได้นำเสนอมาว่ามีทั้งเมือง ทั้งป่า และฝุ่นควันข้ามแดน ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อเรานำเสนอของบประมาณกลางโดยเข้าสู่ ค.ร.ม. เขาก็จะสอบถามผมเหมือนกัน ความจริงตนเองก็เห็นความสำคัญว่างบกลางควรจะกระจายให้ทั่วถึง เพราะไม่เช่นนั้นจุดไหนที่ได้งบก็ควบคุมไฟป่าได้ แต่จุดที่ไม่ได้งบก็เกิดเหตุและลามมายังที่อื่นอยู่ดี
ผมก็ขอบคุณเจ้าหน้าที่ไฟป่าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ที่แม้จะได้งบประมาณน้อยแต่ทำงานมาก สวัสดิการก็อยากให้ได้มากขึ้น เรื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เพียงพอก็ต้องจัดหาให้เพียงพอ ทำอย่างไรจะจัดหาได้บ้างเพื่อทำให้ภาระกิจดีขึ้น ในส่วนพี่น้องประชาชนที่ช่วยป้องกันไฟป่าก็กราบขอบพระคุณด้วย ผมรับฟังวันนี้ อาจจะไม่แม่นข้อมูล พวกที่อยู่ในพื้นที่แม่นกว่าผม ผมก็จะรวบรวมข้อมูลนี้เสนอต่อ ค.ร.ม. พื้นที่อุทยานฯ เราเยอะมาก ต้องทำข้อมูล ต้องคุยกับชุมชน ท้องถิ่น ท้องที่เขาจะช่วยเราด้วย จะขอกรมควบคุมมลพิษในการจัดเก็บข้อมูลในการใช้งบประมาณ.
แชร์บทความ
