ป่าแม่นาป้าก: ป่าชุมชนและการจัดการไฟดีจนต้องอวด
รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์
27 ตุลาคม 2568
อ่าน 2 นาที
ฟังบทความ
ภาพ: ชุมชนแม่นาป้าก และทีมงานสภาลมหายใจเชียงใหม่

ป่าไม่ใช่แค่ที่ให้เราต้องไปอาบ แต่ป่าคือบ้านและซูเปอร์มาร์เก็ตของชุมชนคนอยู่ร่วมกับป่า และป่าที่มีการจัดการไฟอย่างดีเยี่ยมในฐานะผู้เป็นปราการด่านแรกรับมือกับฤดูกาลฝุ่นไฟในทุกปีนั้น คือป่าที่เราต้องอวด
กิจกรรม “อวดป่า” บ้านแม่นาป้าก ต.แม่หอพระ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของ งานวิ่งเพื่อลมหายใจ ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา เราไม่ได้มาแค่เดินป่าหรืออาบป่าเท่านั้น แต่เป็นการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันของคนกับป่า หรือเรียกได้ว่าสัมผัสป่าได้รับการจัดการไฟโดยชุมชน ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาฝุ่นไฟและ PM2.5 จากแผนและแนวทางของชุมชน
ป่าชุมชนแม่นาป้ากมีแผนจัดการไฟของชุมชนร่วมกันบนฐานความคิดว่า ไม่ห้ามใช้ไฟ แต่เป็นการใช้ไฟดีและไฟจำเป็นเพื่อ ‘จัดการใช้’ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ป่าบ้านแม่นาป้ากในวันนี้จึงเป็นป่าที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง ระหว่างทางเดินตลอดระยะทาง 5 กิโลเมตรในป่า คือการเก็บเห็ด พืชพรรณกินได้ และสมุนไพรป่า นี่คือชีวิตประจำวันของชุมชน เป็นป่าแห่งสายสัมพันธ์ การอวดป่าครั้งนี้จึงเป็นการเปลี่ยนอคติต่อชุมชนคนอยู่กับป่าว่าคือผู้ทำลายป่า เผาป่า และก่อมลพิษ PM2.5 รวมถึงมุมมองต่อการใช้ไฟเพื่อบริหารเชื้อเพลิง
“อย่าเพิ่งตีขุมทุกครั้งเมื่อเห็นไฟ”

ครูเบลล่า-นลี อินทรนันท์ เป็นหนึ่งในวิทยากรที่สานความเข้าใจระหว่างคนเมืองกับชุมชนคนอยู่กับป่า โดยกล่าวว่า เหตุผลที่ต้องการอวดป่า “เพื่อให้ความรักและเกื้อกูลกันเกิดขึ้น และเห็นถึงความจำเป็นในการใช้ไฟ เนื่องจากป่าบ้านเราเป็นป่าเต็งรัง การบริหารจัดการไฟจะทำให้ไฟเกิดขึ้นอย่างดีและแก้ปัญหา PM2.5 ได้ซึ่งเป็นแนวทางที่สวนทางกับการที่รัฐบอกห้ามเผาโดยสิ้นเชิง คำว่าป่าชุมชนหมายถึงการมอบป่าให้กับชุมชนที่นี่ดูแล เป็นการเชื่อมโยงที่เข้มแข็งระหว่างป่ากับมนุษย์ ดังนั้นเราจึงต้องอย่าเพิ่งตีขุมทุกครั้งเมื่อเห็นไฟ”
ครูเบลล่ามองว่า การอวดป่าคือ “การอวดความอุดมสมบูรณ์ของป่า และวิถีชาวบ้านในการยังชีพ หาอาหาร และยาจากป่า น่าอวดตรงที่ว่าเขามีความสุขกับเราเยอะ (ขำ) เขายังชีพได้ และความมีชีวิตที่ยั่งยืนและมีความสุขอยู่ในป่า เราจึงอยากอวด” และเสริมว่าคนเมืองสามารถสนับสนุนได้ง่ายๆ แค่ “มาแอ่วบ้านเขา กินของออร์แกนิค ของป่า และของธรรมชาติ หรือแค่ปรบมือให้ชุมชนก็น่ายินดีแล้ว ป่าจะช่วยเยียวยาคนเมือง และไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เราจะเยียวยารับพลังจากธรรมชาติ”
ป่าคือซูเปอร์มาร์เก็ต


การเดินป่าครั้งนี้พวกเราได้เดินตามรอยที่ชุมชนเดินประจำเพื่อการ “เข้าป่าหาเห็ด” ที่เป็นทั้งอาหารและรายได้ประจำวันของชุมชน คุณสงัด อนุวงศ์ ตัวแทนชุมชนบ้านแม่นาป้าก ต.แม่หอพระ อธิบายว่าเห็ดเหล่านี้คือ เห็ดหล่ม หรือเห็ดหอม “บ้านเราอยู่ได้ก็เพราะเห็ด” เห็ดตามทางที่เราเห็นวันนี้ ถือว่าเยอะ แต่ที่จริงมีเยอะกว่านี้แต่ชาวบ้านเก็บไปหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามวันต่อมาเห็ดจะเติบโตขึ้นมาใหม่ ณ บริเวณเดิม บางทีนั้นสายใยที่เห็ดสร้างไว้กับป่าน่าจะสะท้อนถึงสายสัมพันธ์ของชุมชนกับป่าที่แน่นแฟ้นได้เป็นอย่างดี
“การเก็บเห็ดเป็นจำเลยของสังคมมานานโดยไม่ได้เข้าใจบริบทของชุมชน ทั้งที่ป่าคือซูเปอร์มาร์เก็ตของชุมชน” ครูเบลล่ากล่าว “ฝุ่นควันไม่ใช่ความผิดชาวบ้านที่ดูแลป่า เพราะยังมีทั้งฝุ่นข้ามแดน และจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์”
ในวันนี้ครูเบลล่าเอาสมุนไพรมาปลูกเพิ่มในป่า เพื่อเป็นการเติมสมุนไพรให้กับชุมชน “คราวที่แล้วที่มาเราพบสมุนไพรเยอะมาก จึงปรึกษากันกับชุมชนว่าจะปลูกอะไรบ้างในป่า เพื่อเติมความหลากหลายและอู่ข้าวอู่น้ำ วันนี้จึงเอาสมุนไพรมาปลูก 12 ชนิดด้วยกัน” สมุนไพรโดยคร่าวมีดังนี้ ชีช้างใบยอ เสลดพังพอน ขมิ้น ใบเชียงดา ผักปลัง สะแล ฮ้วนหมู ผักแปม และมะรุม
ทุกคนที่มาร่วมเดินป่าวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เห็ดปิ้งหอมๆสดๆที่เก็บกันได้ระหว่างทางของป่าบ้านแม่นาป้ากนั้นอร่อยสุดๆ!
ไหว้ผีขุนน้ำ บ้านแม่นาป้าก: ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าแดน และการทำฝาย

การสะท้อนความเคารพของชุมชนต่อป่าที่ดีที่สุดคือการได้ไหว้เจ้าป่า ซึ่งสำหรับบ้านแม่นาป้าก ต.แม่หอพระ ก็คือ ผีขุนน้ำ หรือเจ้าที่ประจำต้นน้ำของป่าและชุมชนผู้ดูแลป่าและความอุดมสมบูรณ์ เราทุกคนได้ร่วมวางของไหว้เล็กๆน้อย อันได้แก่อาหารบางอย่างที่มีติดตัวกันมา เพื่อทำพิธีไหว้ผีขุนน้ำ และเพื่อดูแลแหล่งน้ำให้อยู่ในป่าได้นานที่สุดสำหรับการรับมือกับช่วงแล้ง จึงนำไปสู่ขั้นตอนถัดมา คือการทำฝายธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการดูแลแนวกันไฟ
คุณสงัด อนุวงศ์ อธิบายว่า “ป่าที่นี่เป็นป่าเต็งรังที่มีการผลัดใบ มีเชื้อเพลิงจากเศษใบไม้ที่ร่วงหล่น จึงต้องดูแลด้วยแนวกันไฟแบบใยแมงมุง คือ แบ่งเป็นโซนซ้อนๆกัน แต่จัดการเชื้อเพลิงวันเดียวจบ มีการเวียนเผาเชื้อเพลิงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่า” คุณสงัดเสริมว่า ในการทำงานเป็นการระดมอาสาสมัครในหมู่บ้าน โดยใช้ทีมละสิบกว่าคน แต่ต้องยอมรับว่ายังขาดงบประมาณในการดูแลป่า รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงเครื่องเป่าลมเพื่อช่วยในการจัดการไฟ ป้องกันไฟใหญ่ลุกลาม และเป็นการคงความอุดมสมบูรณ์ของป่าเพื่อให้ป่าฟื้นตัวได้เร็ว
ลำดวน มหาวัน ผู้ประสานงานหน่วยจัดการระดับจังหวัด (Node Flagship) เชียงใหม่ กล่าวว่า “การบริหารจัดการเชื้อเพลิงที่ให้ชุมชนได้มีการคิด วิเคราะห์ และจัดการแผนเองชุมชนจะรู้ว่าต้องบริหารเชื้อเพลิงพื้นที่ไหน เพื่อจัดการไฟที่จำเป็นและช่วยกันดูแลไฟที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้ไฟลามเป็นไฟใหญ่ โดยส่วนตัวที่ได้มีโอกาสได้เข้าไปเรียนรู้ในกิจกรรมครั้งนี้เป็นประโยชน์มากสำหรับทั้งชุมชนที่มีโอกาสได้บอกเล่าเรื่องราวของการดูแลป่าที่เป็นป่าเศรษฐกิจและสร้างการเรียนรู้ให้กับคนในสังคมเพิ่มมากขึ้น เพราะเชื่อว่าชุมชนสามารถที่จะจัดการและวางแผนการบริหารจัดการไฟได้ถ้าได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยชุมชนเป็นเจ้าของ”
คุณปฐมพงศ์ เจริญมูล ผู้ใหญ่บ้านบ้านแม่นาป้าก ต.แม่หอพระ อธิบายถึงการทำฝายธรรมชาติว่า “ไม่อยากใช้ปูน ซึ่งจะเป็นการก่อสร้างที่ถาวรและทิ้งมลพิษไว้” ดังนั้นจึงเป็นการทำจากไม้ไผ่และก้อนหินที่เก็บได้ในป่าริมธารน้ำ ขั้นตอนที่แขกอย่างพวกเราช่วยกันทำก็มีแค่ช่วยกันลำเลียงก้อนหินไปใส่ในฝาย ประโยชน์จากฝายนี้ก็คือ ช่วยชะลอน้ำ
“ไม้ไผ่และหินจะช่วยกรองน้ำและเก็บใบไม้ได้ ถ้าเราไม่ชะลอน้ำ ความดันน้ำจะเยอะ และต้นไม้จะถูกกัดเซาะ ฝายธรรมชาตินี้จะช่วยให้ดินจะอุดมสมบูรณตลอดทั้งปี โดยเฉพาะหน้าแล้งที่กำลังจะมาถึง ก้อนหินจะชะลอความเร็วของน้ำ และให้น้ำยังคงอยู่กับป่าในช่วงแล้งได้นานที่สุด โดยที่ไม่ทิ้งผลกระทบอะไรไว้กับป่า และฝายน้ำมีอายุแค่ปีเดียว ปีหน้าเราค่อยทำใหม่อีกครั้ง” คุณปฐมพงศ์ กล่าว
นี่คือกฎเกณฑ์ง่ายๆที่ชุมชนแม่นาป้ากวางไว้เพื่ออยู่ร่วมกันกับผืนป่าในรูปแบบพึ่งพาอาศัย ดูแล ปกป้อง และป้องกัน เป็นการจัดการไฟด้วยการดูแลป่าพร้อมกับเพิ่มความสมบูรณ์ ใช้ระบบไฟจำเป็นเพื่อควบคุมเชื้อเพลิงไม่ให้กลายเป็นไฟอันตราย ส่งผลเสียต่อป่าและสุขภาพของคนทั้งจังหวัด ป่า(ในมือ)ของชุมชนแบบนี้แหละ ที่ชุมชนอยากอวด และอยากให้คนที่ยังไม่มีโอกาสได้เข้ามาเห็นกิจกรรมในผืนป่ามาร่วมกันเรียนรู้และเข้าใจ.
แชร์บทความ
