/
บทความ/
สภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือแลกเปลี่ยนบทเรียนการแก้ปัญหาฝุ่นควัน พร้อมผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด
สภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือแลกเปลี่ยนบทเรียนการแก้ปัญหาฝุ่นควัน พร้อมผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด
กนกพร จันทร์พลอย
17 พฤศจิกายน 2568
อ่าน 2 นาที
ฟังบทความ

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิเพื่อลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจเชียงใหม่ และภาคีสภาลมหายใจ 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน แพร่ แม่ฮ่องสอน และตาก จัดเวทีแลกเปลี่ยนความคืบหน้าการทำงานแก้ปัญหาฝุ่นควันและไฟป่า ภายใต้โครงการยกระดับการสนับสนุนเครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 – เมษายน 2569 การประชุมครั้งนี้เป็นการรวบรวมบทเรียนและประสบการณ์จากทั้ง 9 จังหวัด เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับฤดูฝุ่นควันที่กำลังจะมาถึง พร้อมกับผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาดผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาก่อนที่จะตกไปหากไม่ทันก่อนรัฐบาลยุบสภาในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 นี้

“กฎหมายที่เกิดจากการขับเคลื่อนของภาคประชาชนโดยแท้จริง” รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ สภาลมหายใจเชียงใหม่ เริ่มเล่าถึงสถานการณ์ พ.ร.บ.อากาศสะอาดที่ถือเป็นกฎหมายภาคประชาชน โดยเริ่มรวบรวมรายชื่อตั้งแต่ปี 2562 และผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นมาตั้งแต่ปี 2567 ร่างกฎหมายฉบับที่ 8 ผ่านการพิจารณาในวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม แต่ขณะนี้ยังอยู่ในชั้นวุฒิสภาพิจารณา
ขณะเดียวกัน ด้านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยังคงมีข้อห่วงกังวลและพยายามถ่วงเวลา โดยต้องการสร้างความยืดหยุ่นให้กับเอกชน อ้างว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุน ซึ่งอาจทำให้กฎหมายไม่ทันประกาศใช้ก่อนฤดูฝุ่นควันปี 2569 โดยกฎหมายฉบับนี้มีจุดเปลี่ยนสำคัญจากการแก้ปัญหาเชิงรับเป็นเชิงรุก คือการป้องกันมลพิษตั้งแต่ต้นทาง โดยมีหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays) กระจายอำนาจให้คณะกรรมการอากาศสะอาดระดับจังหวัดโดยมี อบจ. เป็นประธาน รวมถึงมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) สำหรับติดตามมลพิษจากห่วงโซ่อุปทาน อนุญาตการเผาในไร่หมุนเวียนภายใต้การควบคุม และเอาผิดกิจการเกษตรเชิงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

ต่อมาเป็นการนำเสนอผลการดำเนินงานในแต่ละจังหวัดโดย ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ ได้เล่าสะท้อนให้เห็นความหลากหลายของบริบทพื้นที่และแนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่น
กรณีจังหวัดเชียงราย เกษตรแนวใหม่ร่วมใจไม่เผา เป็นการดำเนินโครงการ “เกษตรแนวใหม่ร่วมใจไม่เผา” โดยใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยแทนการเผา มีการให้ความรู้เกษตรกรและสาธารณสุขมาร่วมตรวจสอบจริง จัดประชุมเครือข่ายหลายเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนว่าทำได้จริงหรือไม่ แจกกล้าไม้เพื่อปรับเปลี่ยนพืชเชิงเดี่ยวเป็นพืชผสมผสาน จัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องลดโลกร้อนและการทำปุ๋ยจากวัสดุการทำเกษตร
แม้เผชิญอุปสรรคจากสภาพอากาศแปรปรวนที่มีฝนตกทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ และกลุ่มเป้าหมายมาน้อย แต่ได้รับการสนับสนุนจากทรัพยากรธรรมชาติจังหวัดเชียงราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่นำเห็ดเข้ามาสนับสนุนเกษตรให้มีทางเลือก และมีแผนถอดบทเรียนจัดเวทีเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด

กรณีจังหวัดลำพูน โครงการ “ป้องกันไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองของภาคประชาสังคมจังหวัดลำพูน” จากวิกฤตสู่การเปลี่ยนแปลง ลำพูนมีความแตกต่างจากจังหวัดอื่นในด้านวัฒนธรรม ขนาดของจังหวัด สภาลมหายใจลำพูนรวมตัวขึ้นมาต้องการจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมของตัวเอง โดยเฉพาะไฟป่าที่อำเภอลี้ใกล้ทะเลสาบดอยเต่า ซึ่งรอบ ๆ เป็นพื้นที่อุทยาน เผชิญความท้าทายจากภูมิประเทศที่พื้นที่เวียงอยู่ต่ำกว่าเมืองอื่นทำให้อากาศหนาแน่น คนในป่าไม่เชื่อเรื่องการจัดการของรัฐเพราะไม่เห็นว่ามีควัน ทุกคนชี้ไปที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูน และความขัดแย้งระหว่างคนในเมืองกับบนดอยเกี่ยวกับการเผา
เครือข่ายจังหวัดลำพูน มีการดำเนินแนวทางรณรงค์ “ขุดหลุม” “เพ้วแต่ไม่เผา” “หยุดสตาร์ท เพิ่มสติ” ผลลัพธ์ในปี 2568 ตัวเลขการเผาลดลง 8% แม้จะมีฝนตกช่วย แต่งานภาคประชาชนก็ทำขับเคลื่อนต่อเนื่อง ผลักดันให้เกิดเวทีประชาชนและสร้างองค์กรภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง มุ่งสู่การทำลำพูนให้เป็นเมืองสีเขียว
กรณีจังหวัดตาก โครงการ “เชื่อมโยงพลังชุมชน ขับเคลื่อนสภาลมหายใจคนจังหวัดตาก ลดปัญหาหมอกควัน” ชุมชนปลอดการเผาและการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก มีเครือข่าย “สภาลมหายใจแม่สอดสะอาด” ใช้วิธีลงพื้นที่ชุมชนเอาสถานการณ์ไปเล่า ทำงานในพื้นที่บ้านนาที่ติดกับก้อและลำพูน เขตอุทยานแม่ปิงซึ่งเป็นผืนป่าแปลงใหญ่ที่ไหม้ลาม ตัวแทนเครือข่ายจังหวัดตากย้ำว่า สร้างเครือข่ายชุมชนปลอดการเผาที่ไม่เผาจริง มีไฟแต่ต้องดับให้อยู่ ดำเนินโครงการ “ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก” มีความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศอย่าง WWF
รวมถึงการกำหนดมาตรการตามบริบทพื้นที่โดยสร้างกระบวนการเรียนรู้ก่อนกำหนดมาตรการ ส่งเสริมการใช้ไฟเพื่อจัดการเชื้อเพลิงในป่าเต็งรังเพื่อส่งเสริมเห็ดโคนและให้ป่าฟื้นตัว ส่งผลให้รายได้จากการหาเห็ดเพิ่มขึ้นและมีการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพ

กรณีจังหวัดลำปาง โครงการ “การมีส่วนร่วมของภาคียุทธศาสตร์จังหวัดและพื้นที่ปฏิบัติการ การแก้ไขหมอกควันจากการเผาป่าและพื้นที่เกษตรจังหวัดลำปาง” แม่ฮะโมเดลและแผน 3+1 โดยเครือข่าย “ฟ้าใสเพื่อลมหายใจคนลำปาง” ขับเคลื่อนแม่ฮะโมเดลผ่านแผน 3+1 (เฝ้าระวัง เผชิญเหตุ ฟื้นฟู + สุขภาพ) ให้ทุกชุมชนมีพื้นที่ทดลอง 3 ตำบลในอำเภอเมืองปาน เชื่อมยุทธศาสตร์จังหวัด มีการขับเคลื่อน 15 พื้นที่ เป็นการเชื่อมโยงพื้นที่ปฏิบัติการและยกคุณค่าการทำงานของภาคประชาสังคม ข้อค้นพบสำคัญคือทุกหน่วยเริ่มเป็นเจ้าภาพ เริ่มมีแผนงานและแผนงานร่วม จับมือกันทำงานแล้ว พื้นที่นำร่องในอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนและอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท สามารถลดจุดความร้อนได้ 100% ด้วยกลไกชุมชน พร้อมมีแนวทางขยายโมเดลลงไปในพื้นที่อื่น ๆ

กรณีจังหวัดพะเยา โครงการ “สานพลัง ทุกคนมีลมหายใจเดียวกัน ลดปัญหาฝุ่นควัน” สมัชชาสุขภาพและความร่วมมือข้ามแดน ใช้โครงสร้างสมัชชาสุขภาพที่มีข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับฝุ่นควัน เนื่องจากหลายครั้งจังหวัดเองยังไม่มีตัวตน ทำนวัตกรรมให้เศษวัสดุต่างๆ กำจัดแบบไม่เผาและสร้างรายได้ เครือข่ายพยายามสร้างเครือข่ายกับประเทศลาว โดยผู้ใหญ่บ้านของลาวมีข้อตกลงร่วมกับพื้นที่รอยต่อ ให้ประสานไปกับทางเจ้าแขวงที่ลาวเพื่อให้ดำเนินการได้
มีการตั้งประเด็นว่าพื้นที่เกษตรกรห้ามเผามีการชดเชย แต่คนในพื้นที่ป่าทำไมไม่มีการชดเชยเป็นรายแปลงเหมือนกันบ้าง พยายามนำทีมของเครือข่ายเข้าไปสู่การออกแบบนโยบายระดับจังหวัด เริ่มจากคนในชุมชนที่ขับเคลื่อนอยู่ เน้นประเด็นป่าชุมชนในอุทยานให้มากขึ้นเพื่อลดจุดความร้อน

กรณีจังหวัดแพร่ โครงการ “การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันและไฟป่าจังหวัดแพร่” มีสโลแกนว่า “เมืองไม้ยั่งยืน” ใช้เรื่องแผนและกลไกเป็นหลัก สร้างพื้นที่ร่วมหรือพื้นที่กลางในการจัดทำนโยบายปัญหาฝุ่นควัน ใช้เรื่องฝุ่นควันเป็นตัวเดิน พอทำเครือข่ายต้องเป็นเรื่องภาพใหญ่ของจังหวัด ใช้พื้นที่กลางเป็นจุดสนทนา เน้นเรื่องของความเป็นเมืองไม้ พื้นที่ป่าเยอะเป็นป่าสงวนมากกว่าครึ่งหนึ่งคือ 2 ล้านกว่าไร่ จึงจำเป็นต้องสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการป่า มุ่งเน้นเรื่องการทำพื้นที่ป่าที่สามารถเข้าไปดูแลจัดการได้
มากกว่านั้น เครือข่ายจังหวัดแพร่ได้มีการทำงานร่วมกับสวีเดนในเรื่องเมืองไม้ยั่งยืน เชื่อมกับเรื่องเศรษฐกิจชุมชน ไม้สักส่งอีเกีย (IKEA) มหาวิทยาลัยแม่โจ้มาช่วยทำงานเรื่องข้อมูลกับป่าสตก. (องค์การบริหารที่ดินเกษตร) ดูว่าข้อมูลในแพร่มีไม้ประเภทอะไรบ้าง มีจำนวนเท่าไหร่ พื้นที่ อายุการใช้งาน ปริมาณไม้อยู่ที่ไหน ควรปลูกเพิ่มเท่าไหร่
กรณีจังหวัดน่านโครงการ “ขยายผลพื้นที่ต้นแบบเพื่อการจัดการหมอกควัน ไฟป่า และ PM 2.5 ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน จังหวัดน่าน” วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ มุ่งเป้าหมายไปที่พื้นที่ความเสี่ยง สร้างองค์ความรู้การบริหารจัดการไฟของพื้นที่ มุ่งเป้าหมายที่เขตพื้นที่โซนน่านใต้ที่หนัก ๆ จะมี 2-3 พื้นที่คือ เวียงสา นาน้อย และนาหมื่น ใช้การสังเคราะห์ข้อมูล อาศัยความเข้าใจข้อมูลในพื้นที่ วิเคราะห์มาตรการต่างๆ ในระดับจังหวัด เรียนรู้พฤติกรรมของการเกิดไฟ หัวไฟอยู่ตรงไหน จุดสิ้นสุดของการเกิดไฟอยู่ตรงไหน วิเคราะห์ไฟในระยะสามปีที่เป็นพื้นที่ซ้ำซาก มีการวิเคราะห์พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังในปี 2569
ในโซนน่านใต้มีเขตอุทยานถึง 3 เขต พฤติกรรมของการเกิดไฟมีการล่องเรือเหนือเขื่อนสิริกิตต์ เขตไฟที่วิเคราะห์จะติดกับลำน้ำ พื้นที่เผาไหม้ซ้ำซากมักจะอยู่ในพื้นที่เขตอุทยาน เข้าใจว่าพื้นที่นั้นเป็นเขตพื้นที่ทดลองการชิงเผา แม้จุด Hotspot ลดลง แต่ค่าฝุ่นควันเพิ่มขึ้น สร้างความร่วมมือข้ามประเทศกับ สปป.ลาว และสนับสนุนงานวิชาการเพื่อเสริมศักยภาพชุมชน

กรณีจังหวัดแม่ฮ่องสอน โครงการ “การจัดการฝุ่นควันและไฟป่าอย่างยั่งยืน ในพื้นที่ป่าชุมชน จังหวัดแม่ฮ่องสอน” นวัตกรรมกระดาษพลูและการจัดการป่าชุมชน จัดทำฐานข้อมูลในการจัดการฝุ่นควันและไฟป่าอย่างยั่งยืน และแนวทางหรือแผนจัดการฝุ่นควัน ไฟป่าในพื้นที่ป่าชุมชน พัฒนาแกนนำป่าชุมชนที่สามารถสื่อสารแผนการจัดการฝุ่นควันและไฟป่าในพื้นที่ป่า พบว่าส่วนใหญ่ที่สามารถสื่อสารได้จะเป็นผู้นำของชุมชนเป็นหลัก ทั้งทักษะในการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความรู้ในการจัดการไฟ เข้าใจผลกระทบของการจัดการ สามารถใช้แผนในการจัดการได้
มีพื้นที่รูปธรรม บ้านท่าปายและน้ำพุร้อนท่าปายซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับชุมชนในการจัดการป่า ป่าชุมชนบ้านสบป่องที่เคยเป็นพื้นที่สัมปทานไม้ เอาเรื่องคาร์บอนเครดิตเข้าไปดูแลป่า ประเด็นเรื่องไร่หมุนเวียนตอนนี้มี 11 แห่ง กำลังจะลดเหลือ 9 แห่ง ใช้เครื่องมือแผนที่ แผนป่าชุมชนเองที่ต้องมาตามแบบฟอร์ม ใช้นวัตกรรมกระดาษพลูในการทำแผนที่จุดเสี่ยงไฟป่าโดยชุมชน เพื่อสร้างความหวงแหนและเป็นหลักฐานเบื้องต้น และมีปัจจัยแห่งความสำเร็จจากผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งและการเปลี่ยนข้อสั่งการเป็นข้อเสนอที่สมเหตุสมผล เช่น ขอถนนแลกกับการลดเผา จะมีแผนการทำสื่อ มีข้อเสนอเชิงนโยบาย และจะเสนอต่อกองทุนสิ่งแวดล้อม ปีนี้มี MOU มีโครงการวิจัย 16 โครงการ
ข้อเรียกร้องสภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือ “คนเหนือต้องการพ.ร.บ.อากาศสะอาดที่มีศูนย์กลางเป็นสิทธิมนุษยชนของประชาชนไม่ใช่นายทุน”

จากการแลกเปลี่ยนในเวที เครือข่ายสภาลมหายใจ 9 จังหวัดภาคเหนือได้ออกแถลงการณ์ข้อเรียกร้อง 5 ประการ โดยเน้นว่าคนเหนือต้องการ พ.ร.บ.อากาศสะอาดที่มีศูนย์กลางเป็นสิทธิมนุษยชนของประชาชนไม่ใช่นายทุน
1. เรียกร้องให้กรรมาธิการวุฒิสภาและ กกร. คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเหนืออุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษ เร่งพิจารณาให้ผ่านร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดโดยเร็ว
2. เร่งดำเนินมาตรการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) สำหรับปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน โดยกำหนดให้ข้อมูลเป็นข้อมูลสาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้
3. คณะกรรมการระดับจังหวัดต้องประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนประชาชนที่หลากหลาย รวมถึงกลุ่มชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ผู้มีวิถีชีวิตพึ่งพิงการใช้ไฟในไร่หมุนเวียน
4. สนับสนุนให้เกิดแผนการแก้ไขปัญหาไฟป่าเชิงพื้นที่โดยชุมชนมีส่วนร่วม รวมถึงไฟจำเป็น โดยให้ อปท. เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทุกภาคส่วน
5. ยกระดับจากแนวทางห้ามเผาโดยเด็ดขาด (Zero Burn) แบบเหมารวม เป็นการบริหารจัดการไฟแบบมีส่วนร่วม เพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชุมชน
เครือข่ายสภาลมหายใจชี้ว่า วิธีการแก้ปัญหาหมอกควันของภาครัฐตลอด 20 ปีที่ผ่านมาไม่ประสบผลสำเร็จและใช้งบประมาณจำนวนมาก โดยเฉพาะวิธีแบบตั้งคณะกรรมการชั่วคราวแล้วยุบไป ขณะที่สิทธิของประชาชนต่อการมีอากาศสะอาดถูกละเมิด โดยต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมักถูกแปรเป็นผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรม
ภาคประชาสังคมมีความพร้อมและศักยภาพที่จะเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน โดยเน้นการนำความรู้จากชุมชนไปเชื่อมโยงกับแผนงานของรัฐ การมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่และได้รับผลกระทบโดยตรง
ประชาชนกำลังตั้งตารอกฎหมายอากาศสะอาดที่เป็นของประชาชนเพื่อคืนสุขภาพให้กับคนเหนือ และคืนสิทธิในอากาศสะอาดให้กับประชาชนอย่างแท้จริง คาดว่าเมื่อร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดประกาศใช้ ทุกจังหวัดจะต้องมีแผนและกลไกในการจัดการปัญหา ซึ่งบทเรียนจากการทำงานของภาคประชาสังคมในทั้ง 9 จังหวัดจะเป็นรากฐานสำคัญในการแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืนในอนาคต.

แชร์บทความ
